เมื่อเราจะพูดถึงวิตามินที่มีประโยชน์กับร่างกายหรือแม้แต่ผิวของเราอย่างน้อยก็คงจะนึกถึงVitamin A, B, C, D หรือ E คงจะมีน้อยคนมากที่คิดไปไกลถึง Vitamin F มันเป็นสิ่งใหม่สำหรับผิวของคุณ แต่มันคืออะไรกันล่ะ? จะมีประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกายและผิวพรรณขนาดไหนกันนะ? ด้านล่างนี้คือข้อมูลเกี่ยวกับวิตามินเอฟที่คุณควรรู้เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผิวและร่างกายของคุณกันค่ะ
วิตามินเอฟหรือกรดไลโนเลอิกมีประโยชน์สำหรับผิวที่ขาดความชุ่มชื้นและการอักเสบ แต่น้อยคนนักที่จะคุ้นเคยกับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนี้ สาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทำให้กรดไลโนเลอิกไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเพราะมันยากที่จะระบุตัวตนของมันตามทฤษฎีแล้วมันเป็นการรวมตัวของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสองชนิดคือกรดโอเมก้า 3 อัลฟาลิโนเลนิก (ALA) และกรดโอเมก้า 6 ไลโนเลอิก (LA)
Vitamin F : วิตามินเอฟคืออะไร?
วิตามิน F ดูเหมือนจะเป็นวิตามินแต่จริงๆแล้วไม่ใช่พูดง่าย ๆ ก็คือมันเป็นกรดไลโนเลอิกคือไขมันที่จำเป็นชนิดหนึ่งที่เรียกว่าวิตามิน F ที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และ 6 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น ลดการอักเสบ สุขภาพหัวใจดีขึ้น สุขภาพจิตดีขึ้น และควบคุมน้ำตาลในเลือดแต่ร่างกายของเราจะไม่ผลิตกรดไลโนเลอิกตามธรรมชาติเราจึงต้องรวมกรดนี้ไว้ในมื้ออาหารของเราด้วย วิตามิน F สามารถหาได้จากอาหารหลายชนิด เช่น อัลมอนด์ เมล็ดเจีย เมล็ดกัญชง และไข่แดง และยังพบได้ในน้ำมันหอมระเหย เช่น โรสฮิป เจีย และอาร์แกน ทุกวันนี้สามารถทาครีม น้ำมัน และยาที่มีส่วนผสมของส่วนผสมนี้ลงบนผิวได้มันจะช่วยส่งเสริมให้ผิวของคุณแข็งแรงและสวยงามขึ้น
วิตามินเอฟทำงานอย่างไร?
ร่างกายจะใช้กรดไลโนเลอิกเพื่อสร้างไขมันที่จำเป็นสองประเภท อย่างแรกคือเซราไมด์ซึ่งเปรียบเสมือนซีเมนต์ที่ยึดเซลล์ของคุณไว้ด้วยกันในชั้นนอกสุดของผิวหนัง “ร่างกายต้องการโอเมก้า 6 เพื่อสร้างเซราไมด์ ซึ่งช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นและป้องกันไม่ให้ผิวขาดน้ำ ขณะเดียวกันก็ป้องกันรังสียูวี เชื้อโรค และมลพิษทางอากาศ”
ประการที่สองคือ Prostaglandins ซึ่งควบคุมการอักเสบและส่งเสริมการรักษา นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งทฤษฎีว่าเนื่องจากไขมันทั้งสองชนิดนี้จะพบได้ในซีบัมของผิวคุณ กรดไลโนเลอิกอาจเป็นตัวกลางที่จะเข้าไปปรับความสมดุลของความมันบนผิวหนังไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวหนังอุดตันหรือไม่
กรดไลโนเลอิกมีประโยชน์ต่อผิวหนังอย่างไร?
นอกเหนือจากคุณสมบัติต้านการอักเสบที่เห็นได้ชัดของกรดไลโนเลอิกแล้ว ประโยชน์อื่น ๆ ได้แก่ การผลัดเซลล์ที่ดีขึ้น ผิวจึงดูสว่างขึ้น และเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงขึ้นเพราะเมื่อชั้นผิวหนังของคุณถูกเติมกรดไขมันนี้เข้าไปมันจะเหมือนกับผิวของคุณได้กักเก็บความชื้นและป้องกันไม่ให้ผู้รุกรานแอบเข้ามาทำให้ผิวของคุณมีปัญหา
ผิวประเภทใดที่เหมาะกับกรดไลโนเลอิก?
โดยทั่วไปแล้วทุกสภาพผิวสามารถทนต่อกรดไลโนเลอิกได้แต่จะเหมาะมากสำหรับใครก็ตามที่ต้องการขจัดผิวแห้งหยาบกร้านหรือป้องกันไม่ให้เกิดรอยแดงอักเสบจากการระคายเคืองบานไปทั่วใบหน้าอันเป็นผลมาจากการต้านการอักเสบจากกรดไขมันที่จำเป็น 2 ชนิด ได้แก่ กรดอัลฟาไลโนเลนิก (ALA) กรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไลโนเลอิก (LA) ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า 6 ซึ่งช่วยควบคุมและส่งเสริมการทำงานที่ดีต่อสุขภาพผิวของเรา
ข้อมูลสรุปของ VITAMIN F : วิตามินเอฟ
ประเภทของส่วนประกอบ : วิตามิน กรดไขมัน
ประโยชน์หลัก : ให้ความชุ่มชื้น เติมเต็ม มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ต้านการอักเสบ ฟื้นฟูปราการผิว
ใครบ้างที่ควรใช้ : โดยทั่วไปแล้วทุกสภาพผิวจะได้ประโยชน์จากการใช้วิตามิน F โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวเป็นสิว
คุณสามารถใช้งานได้บ่อยแค่ไหน? : วิตามิน F ใช้ได้อย่างปลอดภัยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน
ทำงานได้ดีกับ : สารให้ความชุ่มชื้น กรดไลโนเลอิก ผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย และผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF
ห้ามใช้กับ : โดยทั่วไปวิตามิน F สามารถใช้ได้กับทุกส่วนผสมอย่างปลอดภัย
ประโยชน์หลักของวิตามิน F สำหรับผิว
• รักษาความชุ่มชื้น : ถือเป็นกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า 6 วิตามิน F เป็นส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นที่ช่วยปกป้องเกราะป้องกันของผิวและรักษาความชุ่มชื้น
• ลดการอักเสบ : วิตามิน F อาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ ช่วยลดการอักเสบรวมถึงควบคุมการทำงานของเซลล์ที่แข็งแรง และการสูญเสียน้ำที่มากเกินไป เช่น ผิวหนังอักเสบและโรคสะเก็ดเงิน
• ต่อสู้กับสิว : จากการศึกษาในปี 1998 พบว่าผู้ที่เป็นสิวสามารถลดขนาดตุ่มหนองลงได้ 25% ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนด้วยการใช้กรดไลโนเลอิกทาเฉพาะที่อีกด้วย
• ปกป้องผิวจากรังสียูวี : ประโยชน์ที่สำคัญประการหนึ่งของวิตามิน F คือมีความสามารถในการเปลี่ยนการตอบสนองของเซลล์ผิวต่อแสงอัลตราไวโอเลตที่เกิดจากความสามารถช่วยลดการอักเสบและเพิ่มการฟื้นตัวจากการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมซึ่งทำลายเซลล์ผิวที่แข็งแรง และเพิ่มชั้นของการปกป้องโดยมันจะเป็นระบบอัตโนมัติเพื่อป้องกันผิวสำหรับวันที่คุณลืมทาครีมกันแดด
• ต่อสู้กับโรคสะเก็ดเงิน : วิตามิน F จะดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายและสภาวะต่างๆ เช่น โรคผิวหนังภูมิแพ้ โรคสะเก็ดเงิน ผิวหนังอักเสบ seborrheic โรซาเซีย และผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิว
• บล็อกสารระคายเคือง : วิตามิน F มีชื่อเรียกอีกอย่างว่ากรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ใช้สร้างเซราไมด์ซึ่งช่วยในการสร้างผิวหนังชั้นนอกสุดโดยพวกมันจะทำหน้าที่คล้ายซีเมนต์เพื่อจัดเรียงให้เซลล์เรียงตัวกันอย่างเข้มแข็งเพื่อป้องกันสิ่งระคายเคืองทั้งแสง UV การติดเชื้อ สารมลพิษ และการอักเสบต่าง ๆ
• มอบความเปล่งประกายและอ่อนเยาว์ : โดยทั่วไปใครก็ตามที่มองหาผิวที่มีสุขภาพดีและดูอ่อนกว่าวัยจะได้รับประโยชน์จากการใช้กรดไขมันอย่างวิตามิน F เป็นประจำเพื่อหลีกเลี่ยงความแห้งกร้าน เนื้อหยาบ การระคายเคือง การแพ้ การอักเสบ และ สัญญาณแห่งวัยอื่น ๆ
• ปลอบประโลมผิว : วิตามิน F เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวเรื้อรังซึ่งโดดเด่นด้วยการทำงานของเกราะป้องกันผิวที่ถูกบุกรุกเนื่องจากช่วยบรรเทาอาการอักเสบและบรรเทาผิวที่มีปัญหา
3 สกินแคร์ที่เราอยากแนะนำ
The Ordinary Ascorbyl Tetraisopalmitate Solution 20% in Vitamin F
จาก The Ordinary
วิตามิน F ในตัว Ascorbyl Tetraisopalmitate Solution 20% นี้เป็นน้ำมันเนื้อบางเบาที่ช่วยลดสัญญาณแห่งวัยโดยปรับสีผิวให้กระจ่างใสและปรับสมดุลสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ สูตรที่ให้ความชุ่มชื้นนี้ต่างจากวิตามินซีในรูปแบบโดยตรงที่ประกอบด้วยอนุพันธ์ของวิตามินซีที่ละลายในน้ำมันซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินซีทันทีที่ใช้ทำให้มีโอกาสที่คุณสามารถระคายเคืองน้อยลง นอกจากนี้ยังมีวิตามิน F กรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 เพื่อช่วยเสริมเกราะป้องกันความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิวคุณอีกด้วย
Pai Light Work Rosehip Cleansing Oil
จาก pai
อ่อนโยนแต่เปี่ยมประสิทธิภาพเพื่อผิวที่สะอาดหมดจด! คลีนซิ่งออยล์ที่ได้รับการคิดค้นสูตรขึ้นเพื่อผิวบอบบางและรอบดวงตาที่สามารถใช้ทำความสะอาดและจะเหมาะมากสำหรับสาว ๆ ที่แต่งหน้าหนัก ๆ แต่ต้องการคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนต่อผิวโดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพมันมีน้ำมันสกัดจากโรสฮิปนี้จะซึมซาบไปทั่วผิวเพื่อขจัดสิ่งเจือปนทุกชนิดแม้แต่มาสคาร่ากันน้ำมันได้รับการพัฒนาสำหรับผิวแพ้ง่ายแต่เป็นที่ชื่นชอบของทุกสภาพผิวมอบสัมผัสให้ผิวรู้สึกนุ่มนวลและสะอาดไม่แสบตา
Drunk Elephant F-Balm™ Electrolyte Waterfacial Hydrating Mask
จาก Drunk Elephant
ด้วยการผสมผสานของส่วนผสมที่ช่วยเติมเต็มปราการผิวให้แข็งแรง ได้แก่ ไนอาซินาไมด์ โซเดียมพีซีเอ สควาเลนจากพืช เซราไมด์ 5 รูปแบบ กรดไขมันโอเมก้า และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ F-Balm™ ช่วยคืนความชุ่มชื้นอย่างมีประสิทธิภาพให้กับผิวที่แห้งกร้าน ทำให้ผิวนุ่ม และยังเม็ดบีดส์ขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยวิตามิน F แตกตัวระหว่างการทาเพื่อมอบความนุ่มนวลเป็นพิเศษและความชุ่มชื้นที่ผ่อนคลาย
สินค้าทั้งสามตัวนี้คุณสามารถหาซื้อได้ที่ SEPHORA https://www.sephora.co.th/?ref=logo
วิธีการใช้ที่เหมาะสม
วิตามิน F สามารถพบได้ในรูปแบบต่าง ๆ และรวมอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่เซรั่มไปจนถึงน้ำมันไปจนถึงครีม วิตามิน F มันเป็นอีกหนนึ่งส่วนประกอบอันทรงคุณค่าที่แบรนด์ต่าง ๆ เลือกใช้ วิธีที่เหมาะสมในการใช้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำมันรูปแบบบริสุทธิ์สามารถใช้ได้ทั้งเช้าและกลางคืนแต่ทางที่ดีควรเริ่มต้นด้วยวันละครั้งเพื่อดูว่าผิวของคุณมีปฏิกิริยาอย่างไรก่อนที่จะเพิ่มความถี่ขึ้น อีกวิธีหนึ่งคุณสามารถสร้างมาส์กของคุณเองได้โดยการผสมวิตามิน F ลงในครีมทาหน้าหรือเซรั่มอย่าลืมทิ้งมาส์กไว้นานพอให้ส่วนผสมซึมเข้าสู่ผิว
ผลข้างเคียงของวิตามินเอฟ
วิตามิน F ยังไม่ปรากฏว่ามีผลข้างเคียงที่ทราบที่แน่ชัดแต่หากคุณใช้ตามคำแนะนำ(ทั้งเช้าและเย็น) ก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยอย่างไรก็ตามหากผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบของเรตินอลหรือวิตามินเอเราแนะนำให้ควรใช้ก่อนนอนนั่นเป็นเพราะผลิตภัณฑ์เรตินอลและวิตามินเออาจทำให้หน้าแดงหรือแห้งได้ดังนั้นจงใช้ความระมัดระวัง
แหล่งอาหารที่มีวิตามิน F ตามธรรมชาติ
ถั่ว : วอลนัท เฮเซลนัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ ไพน์นัท
เมล็ดพันธุ์ : เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย เมล็ดทานตะวัน
น้ำมัน : น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันคาโนลา น้ำมันวอลนัท น้ำมันถั่วเหลือง
ปลา : ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน อาจมี ALA และ LA อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า 6 และโอเมก้า 3 ชนิดอื่น
แหล่งวิตามิน F อื่น ๆ ได้แก่ถั่วเหลืองเต้าหู้ ผักใบเขียว และผลกีวี อาหารบางชนิดจะส่งเสริมวิตามินเอฟซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ น้ำผลไม้ และนมผงดัดแปลงสำหรับทารก คุณยังสามารถรับวิตามิน F ได้จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่นน้ำมันพริมโรส และน้ำมันแบล็กเคอร์แรนท์ นอกจากนี้ คุณสามารถทาวิตามิน F ลงบนผิวได้โดยตรง เซรั่มบำรุงผิว น้ำมัน และครีมหลายชนิดมีวิตามินเอฟ
ฉันต้องการวิตามิน F มากแค่ไหน?
นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้กำหนดปริมาณ LA ที่คุณควรบริโภคแต่พวกเขาได้แนะนำปริมาณ ALA ต่อวัน(ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ) แต่พวกเขาได้ประมาณ ALA ที่แนะนำต่อวันโดยเฉลี่ยที่คุณต้องการคือ :
แรกเกิดถึงอายุ 12 เดือน : 0.5 ก
เด็กอายุ 1 ถึง 3 ปี : 0.7 ก
เด็กอายุ 4 ถึง 8 ปี : 0.9 ก
เด็กเพศชาย อายุ 9 ถึง 13 ปี : 1.2 ก
เด็กเพศหญิง อายุ 9 ถึง 13 ปี : 1.0 ก
เพศชาย อายุ 14 ปีขึ้นไป : 1.6 ก
คนหญิงอายุ 14 ปีขึ้นไป : 1.1 ก
คนท้อง : 1.4 ก
คนให้นมบุตร : 1.3 ก
สิ่งสำคัญคือ ต้องพูดคุยกับเภสัชกรหรือแพทย์ประจำตัวของคุณก่อนรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาหารเสริม เช่น โอเมก้า 3 อาจทำปฏิกิริยากับยาของคุณ โอเมก้า 3 ในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดปัญหาเลือดออกได้หากคุณใช้ ยาวาร์ ฟาริน (Coumadin®)หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือดอื่น ๆ ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณสามารถช่วยให้คุณทราบได้ว่ามีปฏิสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ระหว่างอาหารเสริมและยาของคุณหรือไม่
ประโยชน์ต่อสุขภาพอื่น ๆ ของวิตามิน F ได้แก่ :
สุขภาพสมองและระบบประสาท
สมองของเราเต็มไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เราต้องการให้พวกมันสร้างพลังงานที่เราใช้ในการคิดและสั่งการไปยังระบบต่าง ๆ ในแต่ละวันดังนั้นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับร่างกายของพวกเขาคือการมีกรดไขมันที่จำเป็นเพียงพอหากไม่มีสิ่งเหล่านี้เซลล์ประสาทและไซแนปส์ของสมองจะไม่เกิดการพัฒนาอย่างเหมาะสม
สุขภาพหัวใจ
การบริโภคทั้ง ALA และ LA ในปริมาณสูงดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของโรคหลอดเลือดหัวใจและการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่การแทนที่กรดไขมันอิ่มตัวด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนยังช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย
ความจำและความคิด
มีหลักฐานที่น่าสนใจว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ALA อาจช่วยชะลอการเสื่อมของความรู้ความเข้าใจหรือความจำที่เกี่ยวข้องกับอายุ
โรคไขข้ออักเสบ
มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงว่าอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง รวมทั้ง ALA อาจช่วยลดการอักเสบในผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ ส่งผลให้อาการปวดข้อและข้อตึงลดลงได้