การลอกหรือการผลัดเซลล์ผิวเป็นวิธีการหนึ่งในการดูแลผิวมาตั้งแต่สมัยโบราณโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอยู่สองรูปแบบคือ การผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีทางกายภาพ (Physical Exfoliator) เช่นการขัดถูผิวหนังด้วยการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ฟองน้ำ ถุงมือ แปรงขัดผิว รวมไปถึงวัตถุดิบที่หาได้ทั่วไป อย่างน้ำตาล เกลือ ข้าวโอ๊ต เบคกิ้งโซดาหรือกากกาแฟ และในอีกแบบหนึ่งที่เราจะพูดกันในวันนี้คือ Chemical Peels หรือ การผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้สารเคมี (Chemical Exfoliants) คือการใช้สารเฉพาะที่มีฤทธิ์กัดกร่อนซึ่งทั้งสองแบบนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยค่อย ๆ มีการปรับปรุงและพัฒนาสูตรให้เข้ากับยุคสมัย ตอบโจทย์ และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้หินภูเขาไฟตามมาด้วยนมเปรี้ยวในเมื่อประมาณ 4000 ปีก่อนคริสตกาล หรือจะเป็นการใช้กรดแลคติกในปัจจุบัน แนวคิดหลักก็ยังคงเหมือนเดิมคือเพื่อปรับผิวใหม่และคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว
ในปัจจุบันการผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้สารเคมี (Chemical Exfoliants) ที่ได้รับความนิยมมักเกี่ยวข้องกับกรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA) เช่น กรดแลคติก ซิตริก และทาร์ทาริก ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกพบในเครื่องสำอางที่มีอายุเก่าแก่จากการใช้นมเปรี้ยว องุ่นเปรี้ยว และน้ำผลไม้รสเปรี้ยวเป็นส่วนผสม หรือเบตาไฮดรอกซี (BHA) เช่น ซาลิไซลิกที่มักใช้ในการควบคุมสิวก็ย้อนไปถึงวิธีการรักษาของชาวอินเดียโบราณในการใช้ Wintergreen ซึ่งเป็นพืชที่มีกลิ่นหอมซึ่งมี BHA สูงเพื่อควบคุมความมันของผิว
Chemical Peels คืออะไร?
ทางเลือกการรักษาผิวนี้เป็นทางเลือกที่มีความเข้มข้นกว่าการทาครีมแบบปกติทั่วไป คุณสามารถเลือกระดับความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สารเคมีซึมลึกเข้าสู่ผิวหนังได้ตามปัญหาผิว สารเคมีที่ใช้สำหรับผลัดเซลล์นี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นกรดซึ่งถูกนำไปใช้กับผิวหนังเพื่อขจัดชั้นนอกออกเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหนังได้หลายเหตุผลเช่นอาจใช้เพื่อช่วยขจัดจุดด่างดำ ผิวหย่อนคล้อย ปรับปรุงรอยแผลเป็นจากสิว หรือสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
Chemical Peels ทำงานอย่างไร
Joshua Zeichner, MD , แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการในนครนิวยอร์ก กล่าวว่า “การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีส่วนใหญ่ใช้กรดต่าง ๆ บนผิวหนังเพื่อสร้างบาดแผลบาง ๆ ที่เราสามารถควบคุมความปลอดภัยได้” เพราะปกติแล้วเมื่อเรานึกถึงบาดแผลเรามักจะคิดว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายแต่ในกรณีนี้ไม่ใช่เลย การรักษาผิวด้วยวิธีนี้จะใช้ประโยชน์จากความสามารถของผิวหนังในการรักษาตัวเองเพื่อเกิดกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลด้วยเหตุผลนี้ผิวจึงสามารถปรับปรุงสภาพหรือลักษณะที่ปรากฏของเม็ดสีและเนื้อผิวได้จริง
สรุปแล้วมันเป็นขั้นตอนในการกระตุ้นให้เกิดการบาดเจ็บเล็กน้อยบนผิวโดยการลอกผิวชั้นบนออก จากนั้นกระบวนการสมานผิวตามธรรมชาติจะทำงานเพื่อสร้างพื้นผิวใหม่ที่เรียบเนียนขึ้น จึงช่วยลดการเกิดแผลเป็นจากสิว ริ้วรอย และปัญหาอื่น ๆ เป้าหมายสูงสุดของการผลัดเซลล์ผิวคือการปรับปรุงเนื้อสัมผัสพร้อมกับการปรับสีผิวให้สว่างขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมี
ระดับของ Chemical Peels
1. Superficial/Light Chemical Peels : เป็นการผลัดเอาเซลล์ผิวชั้นนอกสุด
การลอกผิวด้วยสารเคมีแบบบางเบานี้จะช่วยในการปรับปรุงผิวเล็กน้อยและอาจจะต้องใช้หลายวันเพื่อให้ผิวหนังชั้นนอกสุดจะถูกกำจัดออกไปอย่างอ่อนโยน ทางเลือกนี้อาจเหมาะที่สุดหากคุณมีริ้วรอยเล็ก ๆ เป็นสิว สีผิวไม่สม่ำเสมอ เพื่อให้ผิวของคุณสว่างขึ้นหรือผิวแห้งหยาบกร้านจากแสงแดด การฟื้นตัวจากการใช้สารประเภทนี้อาจใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือสองสามวัน ส่วนใหญ่มักประกอบด้วยกรดไกลโคลิกหรือกรดซาลิไซลิกเพราะกรดซาลิไซลิกสามารถช่วยลดการเกิดสิวบนใบหน้าและบริเวณที่มีปัญหาอื่น ๆ และเนื่องจากกรดนี้เป็นกรดในกลุ่มเบต้าไฮดรอกซีชนิดหนึ่งที่เกาะอยู่บนผิวและทำหน้าที่เป็นสารลอกผิวจึงสามารถซึมเข้าสู่รูขุมขนเพื่อปรับสภาพผิวและรักษาสิวได้ในขณะเดียวกัน ดังนั้นอาจเกิดแอฟเฟคบางอย่างเช่นความแห้งกร้าน และเนื่องจากวิธีนี้เบาที่สุดในสามระดับนี้เราจึงสามารถทำได้ทุกสองถึงห้าสัปดาห์
2. Medium Chemical Peels : การผลัดเซลล์ผิวระดับกลาง
นอกจากจะผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกสุดแล้ว ยังลงลึกไปถึงชั้นหนังแท้ช่วงบน (Upper dermis) ที่ระดับความลึกนี้ จะช่วยให้โครงสร้างผิวและสีผิวเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งเหล่านี้สามารถใช้เพื่อแก้ไขสัญญาณผิวที่เริ่มเตือนคุณถึงปัญหาผิวเช่นผิวที่เกิดความเสียหายจากแสงแดด ริ้วรอย ขี้แมลงวัน รวมไปถึง Actinic Keratosis (มะเร็งผิวหนังระยะเริ่มแรก) ริ้วรอยที่ลึกขึ้นและเห็นได้ชัดมากขึ้น โดยปกติแล้วสารผลัดเซลล์ระดับนี้จะมีกรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA) ร่วมกับสารเคมีอื่น ๆ และในชั้นผิวอาจเกิดกระบวนการลอกเป็นเวลาห้าถึงเจ็ดวันเพราะมันสามารถเข้าถึงผิวหนังได้ลึกกว่าประเภทแรก เปลือกเคมีปานกลางช่วยให้ผิวของคุณดูเรียบเนียนและสดชื่น มันทำให้ผิวชั้นนอกสุดถึงส่วนบนของผิวหนังชั้นกลางของคุณจะถูกผลัดออกการฟื้นตัวจากการผลักเซลล์ผิวประเภทนี้อาจใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้นและต้องใช้เวลาพักฟื้นเพื่อให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น
3. Deep Chemical Peeling : การผลัดเซลล์ผิวความเข้มข้นสูงที่สุด
การลอกผิวด้วยสารเคมีอย่างล้ำลึกให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งที่สุดนี่เป็นการลอกผิวด้วยสารเคมีประเภทที่รุนแรงที่สุดมันจะเข้าทำงานลงลึกถึงชั้น Reticular dermis สารเคมีนี้จะแทรกซึมลงไปถึงชั้นกลาง(ส่วนล่าง)ของผิวหนังของคุณ ทางเลือกนี้อาจดีที่สุดหากคุณมีริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นปานกลาง และยิ่งเหมาะกับการรักษาผิวที่ได้รับความเสียหายจากรังสี UV มากเกินไป หรือการช่วยให้ร่องผิวตื้นขึ้น รอยแผลเป็นจากสิวลึก ผิวเป็นตุ่ม หรือมีการเจริญเติบโตของมะเร็งระยะก่อนที่เรียกว่าแอกทินิกเคอราโทซิสหรือผิวทรุดโทรมร่วงโรยก่อนวันอันเนื่องจากคอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลายผิวที่โดนทำร้าย โดยควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ของคุณเพราะพวกเขาจะให้คำแนะนำที่มีประโยชน์และเหมาะกับสภาพผิวคุณที่สุด การผลัดผิวด้วยสารเคมีระดับลึกนี้ (Phenol Peels) บนใบหน้าของคุณได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น การรักษาผิวด้วยวิธีนี้จะต้องการเวลาในการพักฟื้นผิวมากขึ้นและไม่สามารถเลือกการรักษาผิวด้วยวิธีนี้ได้ทุกคน เพราะมันอาจมีส่วนผสมที่ผิวของบางคนไม่สามารถทนได้
การทำ Chemical Peels ด้วยตนเอง?
การทำ Chemical Peels จะมีผลิตภัณฑ์บางตัวที่วางจำหน่ายที่เคาน์เตอร์โดยมีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ค่อนข้างต่ำ ซึ่งการผลัดผิวด้วยสารเคมีชนิดเบาเหล่านี้สามารถทำเองที่บ้านโดยทำตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์อย่างระมัดระวังด้วย ส่วนการผลัดเซลล์ผิวแบบปานกลางและแบบลึกจะกลายเป็นคนละเรื่องกันไปเลยเพราะการผลัดเซลล์ผิวที่ประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูงซึ่งแทรกซึมลึกเข้าไปในผิวหนังได้ลึกและสร้างความเสียหายของผิวได้เยอะกว่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำและดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์พลาสติก เพื่อให้แน่ใจว่าผิวของคุณจะออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
หลักการง่าย ๆ ยิ่งลอกผิวลึกผิวของคุณก็จะอ่อนแอมากยิ่งขึ้นเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้นและอาจส่งผลให้ผิวของคุณไม่สม่ำเสมอดังนั้นจึงจำเป็นต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมและผ่านการรับรองมาเป็นอย่างดี
Chemical Peels เหมาะกับใคร?
- สำหรับความเรียบเนียนและสีผิว โดยทั่วไปการผลัดชั้นผิวแบบตื้นสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว แต่อย่างไรก็ตามหากคุณมีสีผิวที่เข้มคุณก็มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบกับปัญหาผิวคล้ำหลังการรักษามันเรียกว่า “รอยดำหลังการอักเสบ” หากคุณมีสีผิวที่เข้มขึ้นตามธรรมชาติคุณอาจต้องการขอคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังของคุณเกี่ยวกับการรักษาอื่น ๆ ที่รุนแรงน้อยกว่าเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำ แต่โดยทั่วไปแล้ว คนที่มีผิวขาวและมีผมสีอ่อนจะดีกว่าสำหรับการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของปัญหาที่กำลังรักษา
- ส่วนคนที่มีผิวหนังหย่อนคล้อย รอยนูน และริ้วรอยที่รุนแรงขึ้นมันจะไม่ตอบสนองต่อการลอกผิวด้วยสารเคมี พวกเขาอาจต้องการวิธีการศัลยกรรมเสริมความงามประเภทอื่น เช่น การผลัดผิวด้วยเลเซอร์ การดึงหน้า การยกคิ้ว การยกเปลือกตาหรือฟิลเลอร์เนื้อเยื่ออ่อน ( คอลลาเจนหรือไขมัน) โดยการปรึกษาศัลยแพทย์ผิวหนังก่อนพวกเชาสามารถช่วยระบุประเภทการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณได้มากที่สุด
วิธีเตรียมผิวก่อนการทำ Chemical Peels
- หลีกเลี่ยงการอาบแดดโดยตรงเป็นเวลาสองสัปดาห์ก่อนการรักษาแต่ละครั้ง
- ทาผลิตภัณฑ์เฉพาะที่ (เช่น ไฮโดรควิโนน) ตามคำแนะนำก่อนการรักษาเพื่อเตรียมผิวของคุณ
- อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่มีเรตินอยด์ (เช่น เทรติโนอิน) หนึ่งถึงสองสัปดาห์ก่อนการรักษา
- หากคุณได้รับยาปฏิชีวนะแบบรับประทานหรือยาต้านไวรัสแบบรับประทาน ให้เริ่มรับประทานอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการทำ Chemical Peels
- บริเวณที่ลอกต้องไม่มีแผลเปิด รอยโรค หรือการติดเชื้อที่ผิวหนัง
เมื่อไหร่ถึงจะเห็นผล?
หลังจากการทำ Chemical Peels แล้วคุณจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของสารลอกผิวที่คุณได้รับ การลอกผิวแบบตื้นจะทำให้ผิวของคุณดูสว่างขึ้น การลอกแบบปานกลางสามารถทำให้ผิวของคุณเรียบเนียนขึ้น ในขณะที่การลอกแบบลึกจะช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและลดเลือนริ้วรอยเล็กน้อยให้ดีขึ้น
Superficial/Light Chemical Peels อาจใช้เวลาเพียง 3 ถึง 7 วัน และควรทาครีมกันแดดและหลบแสง UV หากทำได้
Medium Chemical Peels อาจใช้เวลา 7 ถึง 14 วันในการฟื้นฟู แพทย์อาจขอให้คุณแช่หน้าเพื่อทุเลาความแสบร้อนของผิวและใช้ครีมทุกวัน รวมทั้งทาครีมและหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยสิ้นเชิง
Deep Chemical Peeling อาจใช้เวลา 14 ถึง 21 วันในการรักษา และแพทย์ผิวหนังของคุณจะแนะนำให้ทาหรือมาสก์ครีมหลาย ๆ ครั้งต่อวัน หรือการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์หนา ๆ หลังจาก 14 วัน และหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยสิ้นเชิงเป็นเวลาสามถึงหกเดือน
“สิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้ คือการปล่อยให้ผิวหนังผลัดเซลล์ผิวเองเป็นสิ่งสำคัญและไม่ดึงผิวหนังที่ลอกออก การลอกผิวหนังที่ไม่พร้อมที่จะผลัดออกอาจนำไปสู่แผลเป็นได้” Zeichner กล่าว
เราไม่แนะนำให้คุณลอกผิวด้วยสารเคมีหากคุณมีอาการเหล่านี้
- มีประวัติผิวหนังเป็นแผลเป็นผิดปกติ
- มีสภาพผิวหรือทานยาที่ทำให้ผิวแพ้ง่าย
- ไม่สามารถอยู่กลางแดดได้ในช่วงรักษาตัว
ข้อควรระวังหลังการทำ Chemical Peels
- อย่าอาบแดดหรือทำผิวสีแทนหรือแม้แต่การอบผิวทั้งในที่ร่มหรือกลางแจ้ง หรือการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงขณะที่ผิวของคุณกำลังฟื้นฟู
- หลังจากรักษาผิวแล้ว ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน
- ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทุกวันตามคำแนะนำเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นเพื่อป้องกันแผลเป็น
- ผิวใหม่ของคุณจะบอบบางและไวต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้คำแนะนำหลังการรักษาเพื่อลดโอกาสเกิดสีผิวผิดปกติหลังลอกและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
*หากผิวหนังของคุณมีอาการคัน บวม หรือไหม้ ให้รีบไปพบแพทย์ การเกาผิวหนังของคุณอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
สรุปประโยชน์จากการทำ Chemical Peels
- รอยดำคล้ำใต้ตาหรือรอบปากและปัจจัยทางพันธุกรรม
- สิวบางชนิด
- รอยแผลเป็นเล็กน้อย
- จุดด่างดำ กระ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
- ผิวหยาบกร้าน เป็นขุย ผิวหมองคล้ำ
- รอยดำ ( ฝ้า ) เนื่องจากการตั้งครรภ์หรือการทานยาคุมกำเนิด
อย่างไรก็ตามการทำ Chemical Peels อาจจะส่งผลดีมากมายต่อผิวของคุณแต่สิ่งที่ควรระวังและต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือต้องทำตามขั้นตอนหรือคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพราะหากเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมาอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้คุณเสียใจและแก้ไขยาก หากคุณมีผิวแพ้ง่ายและบอบบางควรเว้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวประเภทนี้แล้วหันไปทำการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีทางกายภาพ (Physical Exfoliator) แทนเกลือหรือน้ำตาลอาจจะเหมาะกับคุณมากกว่า เว็บสล็อตแท้