เราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผิวขาวยังคงเป็นกระแสหลักในความงามของหญิงสาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเราจนมีบางคนต้องอาศัยทางลัดอย่างเช่นการฉีดผิวเพื่อจะทำให้สีผิวของตัวเองดูอ่อนลงแต่ผิวที่ได้กลายเป็นผิวที่ซีดจาง ผิวไม่มีเลือดฝาดจนต้องอาศัยการแต่งหน้าเพื่อพลางผิวที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งบางคนมีความฝันที่อยากจะมีผิวอมชมพูเปล่งปลั่งดูสุขภาพดีนี้หมายถึงการไหลเวียนเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึงโดยเฉพาะผิว พูดไปก็เหมือนเกินจริง แต่เฉดสีแดงเล็กน้อยจากการไหลเวียนเลือดภายในร่างกายจะทำให้คุณมีผิวที่ดูสุขภาพดีเป็นสีกลีบดอกกุหลาบแบบธรรมชาติทําให้คุณดูสดชื่นและอ่อนเยาว์ขึ้น ไม่ว่าคุณจะมีผิวสีคล้ำหรือสีไหน ๆ ถ้าผิวมีสีอมชมพูจะทำให้คุณมีเสน่ห์และน่ามองขึ้นอีกเยอะเลยล่ะ
1. อย่าอดอาหาร
: ทานอาหารให้ครบมื้อเพื่อเสริมการซ่อมแซมของร่างกายและเซลล์ผิว
หากคุณไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักหรือน้ำหนักไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่มีปัญหามากนักการอดอาหารจะทำให้คุณดูไม่สดใส แต่! ก็ใช่ว่าคุณจะกินได้ทุกอย่าง “You are what you eat” เป็นคำที่ยังคงใช้ได้และอธิบายได้ดีที่สุด การรับประทานอาหารที่ดีและดีต่อสุขภาพเป็นกุญแจสําคัญในการมีผิวที่แข็งแรงและตัวตนที่สวยงามยิ่งขึ้น คุณไม่ควรข้ามมื้ออาหารของคุณแม้ว่าคุณจะอยู่ในช่วงไดเอทก็ตาม การอดอาหารแบบหักดิบไม่เคยดีต่อสุขภาพของคุณ คุณควรใช้เวลาอย่างน้อย 4 มื้อต่อวันโดยจะต้องเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพทั้งอาหารเช้า อาหารกลางวัน อาหารว่างและอาหารเย็น อาจจะฟังดูเยอะจังเลยตั้ง 4 มื้อนั้นอาจจะฟังดูเยอะเมื่อคุณคิดถึงมื้ออาหารที่ชอบเต็มโต๊ะไปหมดและรับรองได้เลยเมื่อคุณหันมาทานหารหารที่ดีต่อสุขภาพคุณจะคิดว่า 4 มื้อนั้นไม่พอหรอก!
2. เลือกกินอาหารสุขภาพ
: เติมสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อผิว และยังเหมาะต่อการคุมน้ำหนักอีกด้วย
อาหารสุขภาพนอกจากจะช่วยให้ร่างกายของคุณมีสุขภาพที่ดีแล้วยังช่วยให้ผิวของคุณดูสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย อาหารบางอย่างโดยเฉพาะอาหารแปรรูป อาหารทอด อาหารจานด่วน และการทานน้ําตาลสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวของคุณในทางลบทำให้เกิดการอักเสบที่เพิ่มขึ้นในร่างกายของคุณอาจส่งผลเสียต่อผิวของคุณ เช่น การระคายเคือง สิว และสร้างความชราแก่ผิวได้
Omega 3 : โอเมก้า 3
มันถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทได้แก่ กรดอัลฟาไลโนเลนิก (ALA), กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) มันมีชื่อเสียงในการดูแลสุขภาพอันทรงพลังต่อการลดการอักเสบเพื่อประโยชน์ต่อผิวหนังและเส้นผมของคุณ โดยอาจเร่งการสมานแผล เพิ่มการเจริญเติบโตของเส้นผม ลดการสูญเสียเส้นผม และแม้กระทั่งลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนัง พร้อมทั้งช่วยการทํางานของเกราะป้องกันผิวเพื่อปิดผนึกรักษาระดับความชุ่มชื้นและป้องกันสารระคายเคืองเหมาะมากกับการสร้างผิวที่อวบอิ่มและแวววาว เนื้อสัตว์ที่มีไขมัน Omega 3 เยอะจะได้แก่ปลาทั้งหลาย เช่น ปลาเฮอริ่ง ปลาทู ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ครีบน้ําเงินและอัลบาคอร์) ปลาซาร์ดีน แต่หากคุณไม่ชอบปลาหรือเป็นมังสวิรัติคุณสามารถหาได้จาก เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย วอลนัท อัลมอนด์ คาโนลาหรือน้ํามันถั่วเหลือง
Lycopene : ไลโคปีน
ไลโคปีนเป็นสารอาหารสีแดงในตระกูลแคโรทีนอยด์เป็นสารที่ทำให้มะเขือเทศ แตงโม และฝรั่งเป็นสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ แม้ว่าจะพบสารนี้ตามธรรมชาติในผักและผลไม้สีแดงและสีชมพูสองสามชนิด แต่มะเขือเทศนั้นถือว่ามีไลโคปีนมากที่สุด เมื่อมะเขือเทศสุกปริมาณไลโคปีนก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากอาหารที่ยอดเยี่ยม สารอาหารนี้ที่ไม่เพียงแต่ลดอนุมูลอิสระแต่ยังก่อให้เกิดกลไกการป้องกันของร่างกายเองต่อความเครียด ออกซิเดชัน และการอักเสบ ช่วยป้องกันและหยุดกระบวนการทำลายคอลลาเจนในผิวหนังทำให้สามารถหยุดการก่อตัวของริ้วรอยเริ่มต้นได้
Vitamin C : วิตามินซี
มันเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกหนึ่งตัว โดยช่วยป้องกันหรือลดความเสียหายต่อเซลล์ของเราโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ร่างกายและเซลล์ผิวของเราแข็งแรงและเมื่อเราใช้วิตามินซีทาบนผิว ผิวหนังจะถูกกระตุ้นให้รักษาตัวเองโดยการเร่งการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเนื่องจากมันมีสภาพเป็นกรดสูง โปรดจําไว้ว่าคอลลาเจนและอีลาสตินเป็นเส้นใยโปรตีนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งช่วยให้ผิวอวบอิ่มและเต่งตึงอมชมพูดูมีสุขภาพดี มักจะหาได้จากผลไม้รสเปรี้ยว เช่น กีวี่ สตรอเบอร์รี่ ส้ม ส้มโอ มะนาว เลม่อน บรอกโคลี พริกหยวกสีเขียวสีส้มสีแดงหรือสีเหลือง
Vitamin E : วิตามินอี
วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันซึ่งทําหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายทั่วร่างกายของคุณพบได้ในซีบัม(น้ํามันผิว) ของเราซึ่งจะช่วยสร้างเกราะป้องกันตามธรรมชาติเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในผิวของคุณ ดังนั้นผิวที่มีความมันเช่นใบหน้าจึงมีวิตามินอีในปริมาณที่มากกว่าส่วนอื่น รวมถึงคนที่มีผิวมัน(ที่มีความมันมาก) พวกเขาจึงมีวิตามินอีมากกว่าผิวประเภทอื่นด้วยเช่นกัน แต่ซีบัมพร้อมกับระดับวิตามินอีจะลดลงตามธรรมชาติตามอายุ และแสงอัลตราไวโอเลต (UV) เช่นแสงแดดหรือแหลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดฮาโลเจน และหลอดไส้บางรุ่นก็ลดการผลิตวิตามินอีบนผิวลงเช่นกัน อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน น้ํามันถั่ว น้ํามันข้าวโพด ผักโขม บรอกโคลี กีวี มะม่วง
Polyphenols : โพลีฟีนอล
ปกติแล้วโพลีฟีนอลจะช่วยปกป้องพืชจากรังสียูวีที่รุนแรงจากดวงอาทิตย์หากคุณกินอาหารที่อุดมด้วยโพลีฟีนอลคุณสามารถปกป้องเซลล์ภายในของคุณจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ต่อสุขภาพเพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และอัลไซเมอร์ ช่วยให้คุณมีอายุยืนยาวขึ้นแต่โพลีฟีนอลยังเป็นส่วนผสมในการดูแลผิวที่มีศักยภาพ โพลีฟีนอลสามารถช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวของคุณได้ สามารถช่วยลดเลือนจุดด่างดําและริ้วรอย ทําให้มันเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอยในอุตสาหกรรมความงามคุณจะหามันได้จาก ผงโกโก้ ชาเขียว ผลเบอร์รี่ ไวน์แดง และกาแฟ หลายคนอาจสงสัยว่า กาแฟเนี่ยนะ! คาเฟอีนในกาแฟอาจทำให้ใครหลาย ๆ คนกังวลว่ามันจะส่งผลต่อปัญหาผิวที่อาจเกิดขึ้นแต่ก็มีงานวิจัยจํานวนมากที่สนับสนุนประโยชน์ในเชิงบวกของกาแฟซึ่งทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณ “สารต้านอนุมูลอิสระ” กาแฟมีโพลีฟีนอลและกรดไฮดรอกซีซินสูงเป็นพิเศษซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านประสิทธิภาพในการต่อสู้กับอนุมูลอิสระและความแก่ชรา
3. การจัดการความโกรธและความเครียด
คุณเครียดไหม? รู้หรือเปล่าว่าความเครียดสามารถแสดงผ่านผิวของคุณได้ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าความเครียดทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถแสดงผลเสียต่อสุขภาพผิวโดยรวมเช่นเดียวกับการบ่อเกิดปัญหาของสภาพผิวทั้งโรคสะเก็ดเงิน กลาก สิว รวมถึงผมร่วงอีกด้วย การวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าผิวหนังและรูขุมขนมีกลไกที่เชื่อมต่อกับสมองและการตอบสนองต่อความเครียด
คุณเคยรู้สึกประหม่าจนเริ่มวูบวาบหรือเหงื่อออกหรือไม่? นี้แหละคือความเครียดเฉียบพลันวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการสัมผัสกับความเครียดทางจิตใจหรือสิ่งแวดล้อมซ้ํา ๆ อาจส่งผลยาวนานต่อผิวของคุณ แกนสมองและผิวหนังเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อถึงกันซึ่งสามารถนำความเครียดทางจิตใจจากสมองไปสู่ผิวหนังได้ สิ่งนี้อาจทําให้เกิดปัจจัยที่ทําให้ร่างกายเกิดการอักเสบ
ความเครียดจะเข้าไปทําลายเกราะป้องกันผิวหนังซึ่งเป็นชั้นบนสุดของชั้นผิวที่ล็อกความชุ่มชื้นและปกป้องเราจากจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียต่าง ๆ เกราะป้องกันผิวหนังชั้นนอกเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับผิวที่มีสุขภาพดี ผลกระทบของความเครียดยังส่งผลถึงเส้นผมอีกด้วยเช่นผมร่วงเพราะความเครียดจะยับยั้งระยะการเจริญเติบโตของเส้นผมและการหงอกของเส้นผมอีกด้วย
4. การออกกำลังกาย
หลายมีความกังวลว่าการออกกําลังกายมีผลเสียต่อผิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวัยรุ่นที่มีสิวอย่างไรก็ตามด้วยการดูแลที่เหมาะสมหลังการออกกําลังกายอาจจะคุ้มค่า เพราะในความเป็นจริงมันอาจดีต่อสุขภาพผิวของคุณ
มันจะช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดเพื่อบํารุงเซลล์ เมื่อเราออกกําลังกายเลือดจะถูกสูบฉีดผ่านร่างกายของเราทำให้กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ การไหลเวียนของเลือดและออกซิเจน นั่นหมายความว่าเซลล์ทั้งหมดของร่างกายของเรารวมถึงเซลล์ผิวได้รับการบํารุงโดยการไหลเวียนของเลือด นําไปสู่การซ่อมแซมและทดแทนเซลล์ที่เสียหาย นอกจากการไหลเวียนแล้วสารพิษในร่างกายจะถูกกําจัดออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
และเกี่ยวข้องกับความเครียดโดยตรงเพราะการออกกำลังกายคือวิธีการปลดปล่อยอย่างหนึ่งจนทำให้ความเครียดลดลง การออกกําลังกายช่วยลดการตอบสนองของฮอร์โมนและภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นของร่างกาย สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดสิวด้วยนะ
5. ขัดผิว
: ผลัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำเผยผิวใหม่ที่สดใสสุขภาพดี
Desquamation เป็นกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกายเพื่อทำการผลัดผิว ประสิทธิภาพของกระบวนการนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการรวมถึงอายุ สภาพผิว ผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้ และสภาพแวดล้อมของคุณ อย่างไรก็ตามกระบวนการผลัดเซลล์นี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์และอาจนําไปสู่การตกค้างหรือการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนพื้นผิวของคุณ และนี่คือที่มาที่จะต้องมีการสครับผิว
สครับขัดผิวขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและให้ประโยชน์หลายประการ
- มันสามารถช่วยให้ผิวซึมซับมอยเจอร์ไรเซอร์ได้ดีขึ้น ด้วยการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วจะทำให้เกิดการกีดขวางของสิ่งสกปรกบนผิวทำให้การบำรุงของมอยส์เจอไรเซอร์ใด ๆ เข้าสู่ผิวได้ไม่ดีนัก ซึ่งเมื่อหลังจากการสครับผิวเป็นการเคลียร์พื้นผิวให้หมดจดเวลาทาสกินแคร์ผิวคุณก็จะรับการซึมซับเข้าสู่ผิวได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น
- เกิดการคลายรูขุมขนและป้องกันขนคุด สาว ๆ ที่มักจะโกนขนมักจะประสบปัญหาขนคุดอยู่บ่อย ๆ มันทั้งเจ็บปวดและน่าอาย ด้วยการใช้สครับขัดผิวเป็นประจํานั้นจะค่อย ๆ คลายรูขุมขนจนทำให้ขนงอกออกมาได้อย่างปกติ
- สัมผัสผิวของคุณเงางามและเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น เมื่อผิวแห้งจนเกิดการสะสมของเซลล์มันจะทําให้ผิวมีสัมผัสหยาบกร้านและมีความหมองคล้ำสะสม การสครับจะทำให้เซลล์ใหม่ที่เกิดมีความเรียบมันเงามากยิ่งขึ้น ถึงแม้มีผิวคล้ำเมื่อสครับแล้วก็จะให้ผิวดูสดใสมากยิ่งขึ้น
คุณควรใช้สครับขัดผิวบ่อยแค่ไหน?
โดยทั่วไปคุณไม่ต้องการใช้สครับขัดผิวบนผิวของคุณทุกวันหรือแม้แต่วันเว้นวัน การทําเช่นนี้อาจทําให้ผิวแห้งหรือระคายเคือง ความถี่ในการสครับขัดผิวขึ้นอยู่กับสภาพผิวของคุณ แต่โดยทั่วไม่ควรเกิดสัปดาห์ละสองครั้ง แต่สําหรับคนที่มีผิวแพ้ง่ายคุณอาจต้องใช้สครับผิวสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ส่วนผสมแต่ละประเภทนั้นมีขนาดและความละเอียดแตกต่างกันไปซึ่งก็จะเลือกใช้แล้วแต่สภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่เรามักจะคุ้นเคยกับน้ําตาลหรือเกลือ แต่ที่จริงขณะนี้มีสครับขัดผิวที่แตกต่างกันมากมายในตลาด คุณอาจจะต้องลองทดสอบบนผิวก่อนเพื่อหาสครับที่เป็นมิตรกับผิวของคุณมากที่สุด
สครับผิวเกลือ เกลือทะเลเป็นสารผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติมีเนื้อสัมผัสที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทําให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดออกไปได้อย่างง่ายดาย
สครับผิวน้ำตาล แม้ว่าน้ําตาลที่มากเกินไปจะไม่ดีเมื่อคุณทานมันเข้าสู่ร่างกายของคุณ แต่มันกลับส่งผลดีกับการขัดผิว น้ำตาลเป็นสารให้ความชุ่มชื้นซึ่งหมายความว่ามันจะดึงน้ำเข้าสู่ผิวของคุณทําให้ผิวของคุณชุ่มชื้นในขณะเดียวกันก็กําจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดไป
สครับผิวกาแฟ กาแฟมีประโยชน์มากมายและนั่นนําไปสู่สครับขัดผิว ไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติในการขัดผิวและต้านการอักเสบตามธรรมชาติแต่ยังอาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนและผิวเรียบเนียน
สครับลาเวนเดอร์ สครับขัดผิวจากลาเวนเดอร์เหมาะสําหรับผิวที่ระคายเคือง ต้องการการผ่อนคลายเพื่อรักษาผิวที่อักเสบให้สงบ ลองใช้ก่อนนอนเพราะเป็นเวลาที่ดีในการใช้สครับลาเวนเดอร์
สครับถ่าน ถ่านได้กลายเป็นส่วนผสมที่ได้รับความนิยมสําหรับผลิตภัณฑ์ความงามมากมาย ถ่านสามารถดูดซับดักจับสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้อย่างง่ายดาย
สครับด้วยแปรงแห้ง ต้องการลองอะไรที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยหรือเปล่า? การสครับด้วยแปรงแห้งนั้นเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมเป็นการเพิ่มการไหลเวียนโลหิต กระตุ้นระบบประสาท และการระบายน้ำเหลือง
ผิวที่เปล่งปลั่งเป็นความใฝ่ฝันของทุกคน ของที่มีค่ามักจะไม่ได้มาอย่างง่ายดายเหมือนกับผิวอมชมพูสุขภาพดีนี้แหละ ดังนั้นการใช้ความพยายามดูแลสุขภาพและร่างกายนั้นสำคัญมาก สุดท้ายนี้แม้ว่าคุณจะมีลักษณะหรือปัญหาผิวอย่างไรก็แล้วแต่การป้องกันแสงแดดคือสิ่งสำคัญที่สุดเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการบำรุงผิว เพราะเมื่อคุณทำครบทุกอย่างแล้วขาดการปกป้องในข้อนี้ไปสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดอาจเสียเปล่า อย่างที่คุณรู้แสง UV คือปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่ทำร้ายเซลล์ผิว prettyladybaby
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> บาคาร่าออนไลน์